^_^ Neeranuch ^_^ Calendar

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

^_^ คิดถึงดัง ดัง ^_^


เพลง ลูกอม ^_^




การเลี้ยงสุนัข

           การเลือกและดูแลเลี้ยงดูลูกสุนัขแรกเกิดถึงหย่านม การนำลูกสุนัขมาเลี้ยงนั้น อายุที่สมควรจะนำมาเลี้ยงนั้น ควรเป็นอายุประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์ เพราะลูกสุนัขจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคที่สำคัญ ที่ทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตอยู่บ่อยๆ มาเรียบร้อยแล้ว คือ โรคลำไส้อักเสบจากไวรัส และโรคหัด ซึ่งถ้าลูกสุนัขได้รับเชื้อไวรัสเหล่านี้ และไม่มีภูมิคุ้มกันพอ และเมื่อแสดงอาการของโรคแล้วมากกว่า 90% ของลูกสุนัขจะตาย โดยเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกที่อายุ 6 สัปดาห์ และต่อจากนั้นคุณหมอจะแนะนำโปรแกรมที่ถูกต้องให้แก่เจ้าของเอง นอกจากนั้นลูกสุนัขที่มีอายุขนาด (6-8 สัปดาห์) นี้จะไม่โตหรือเล็กเกินไป จะยอมรับเจ้าของใหม่ได้ง่าย และเริ่มหย่านมได้แล้ว สรุปได้ว่า อายุสุนัขที่ควรนำมาเลี้ยงควรจะอยู่ระหว่าง 2-3 เดือน


การเลือกลูกสุนัขการเลือกและดูแลเลี้ยงดูลูกสุนัขแรกเกิดถึงหย่านม การนำลูกสุนัขมาเลี้ยงนั้น อายุที่สมควรจะนำมาเลี้ยงนั้น ควรเป็นอายุประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์ เพราะลูกสุนัขจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคที่สำคัญ ที่ทำให้ลูกสุนัขเสียชีวิตอยู่บ่อยๆ มาเรียบร้อยแล้ว คือ โรคลำไส้อักเสบจากไวรัส และโรคหัด ซึ่งถ้าลูกสุนัขได้รับเชื้อไวรัสเหล่านี้ และไม่มีภูมิคุ้มกันพอ และเมื่อแสดงอาการของโรคแล้วมากกว่า 90% ของลูกสุนัขจะตาย โดยเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกที่อายุ 6 สัปดาห์ และต่อจากนั้นคุณหมอจะแนะนำโปรแกรมที่ถูกต้องให้แก่เจ้าของเอง นอกจากนั้นลูกสุนัขที่มีอายุขนาด (6-8 สัปดาห์) นี้จะไม่โตหรือเล็กเกินไป จะยอมรับเจ้าของใหม่ได้ง่าย และเริ่มหย่านมได้แล้ว สรุปได้ว่า อายุสุนัขที่ควรนำมาเลี้ยงควรจะอยู่ระหว่าง 2-3 เดือน การเลือกลูกสุนัขก็มีหลักการง่ายๆ อยู่ว่า ให้ดูลูกสุนัขที่ร่าเริง ดวงตาแจ่มใส ควรจะลองบีบบริเวณจมูกเบาๆ ดูว่าน้ำมูกที่ออกมาใสหรือข้น โดยปกติเขาก็จะมีน้ำใสๆ อยู่แล้ว และจมูกเปียกชื้น ส่วนผิวหนังก็ให้ดูว่ามีโรคผิวหนังใดๆ หรือตุ่ม หรือจุดเลือดออกหรือไม่ ลูกสุนัขอายุเท่านี้จะต้องมีการฉีดวัคซีนมาแล้ว 1 ครั้ง ดังนั้นคุณจะต้องขอใบรับรองการฉีดวัคซีน ซึ่งควรจะอยู่คู่กับตัวลูกสุนัขและต้องมีลายเซ็นต์ของสัตว์แพทย์ที่มีใบอนุญาตประกอบการบำบัดโรคสัตว์อย่างถูกต้องรับรองอยู่ด้วย


ที่มา : http://www.oknation.net/blog/016804516/2007/08/16/entry-3


เคล็ดลับดูแลผิวหน้าของผู้ชาย

สำหรับผู้ชายที่รักความหล่อและอยากจะบำรุงผิวหน้าให้พิเศษยิ่งกว่านี้ มีอีกสองวิธีที่ทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองมาแนะนำ หรือถ้าขี้เกียจ จะไปทำตามสถามเสริมความงามก็ได้ รับรองว่าขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แล้วก็ปลอดภัยสำหรับคนที่ไม่ต้องการเสี่ยงกับเทคโนโลยีและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ด้วยสองวิธีนี้ควรจะเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง สักเดือนละครั้งกำลังดีนะครับ แต่อย่าทำสองอย่างพร้อมๆ กัน หรือติดๆ กัน เพราะแบบนั้นแทนที่จะบำรุง อาจจะกลายเป็นการทำให้หน้าช้ำและบอบบางยิ่งขึ้นก็ได้

วิธีที่ 1 : นวดหน้าแบบชายชาตรี
การนวดหน้าก็คือการใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมที่ช่วยในการบำรุงผิวหน้าสูงมาทาบริเวณใบหน้า แล้วใช้มือนวดเพื่อผลักครีมให้เข้าไปในผิวหน้า และเพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ผ่อนคลาย
วิธีนี้เหมาะกับคนผิวแห้งมากกว่า เพราะครีมมีส่วนผสมของน้ำมันอยู่สูง คนผิวมันนวดแล้วจะพานเป็นสิวได้ง่ายๆถ้ากำลังเป็นสิวอยู่ อย่านวดหน้า เพราะการนวดหน้านอกจากจะเพิ่มความมันเข้าไปแล้ว ยังทำให้สิวถูกเสียดสีมากจนบวมช้ำเม็ดเบ้งขึ้น หรืออาจอักเสบรุนแรงได้

วิธีที่ 2 : พอกหน้าแบบชายอกสามศอก
การพอกหน้านั้นจริงๆ แล้วเหมาะกับทุกสภาพผิว และดีเป็นพิเศษสำหรับคนผิวมัน อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์พอกหน้าสำหรับแต่ละสภาพผิวให้เลือกซื้ออีกมากมายด้วย จึงเป็นวิธีที่สะดวกและเป็นที่นิยมมากกว่า
การพอกหน้านั้นมีอยู่สองประเภทหลักๆ คือ
- การพอกหน้าเพื่อบำรุง แบบนี้เนื้อครีมพอกหน้าจะออกแนวชุ่มชื้น ไม่แห้งแข็ง เช็ดออกหลังการพอกได้ง่าย แล้วล้างหน้าตามด้วยน้ำเปล่าได้ โดยไม่จำเป็นต้องล้างด้วยเจลหรือโฟม เพราะเนื้อครีมที่ตกค้างอยู่จะเป็นตัวบำรุงผิวนั่นเอง
- การพอกหน้าเพื่อทำความสะอากล้ำลึกและกำจัดความมัน ครีมพอกหน้าแบบนี้จะมีเนื้อครีมข้นหนืดและเป็นครีมแบบแห้ง คือ ค่อยๆ แห้งช้าๆ หลังจากพอกหน้าแล้ว และบางแบบแห้งจนเป็นหน้ากาก ครีมพอกหน้าแบบนี้จะช่วยดูดซับความมันและสิ่งสกปรกในรูขุมขนให้สะอาดหมดจด และเมื่อแห้งแล้วสามารถเช็ดออกด้วยน้ำเปล่าหรือลอกออกก็ได้ ตามแต่คุณสมบัติของครีมแต่ละตัว แต่ควรตามด้วยการล้างหน้าด้วยเจลเสมอ เพื่อกำจัดเนื้อครีมที่ตกค้าง

X DDT : Don't Do That! หยุด...อย่าขยับ
- ถ้าจะพอกหน้า ควรอยู่คนเดียว ห้ามพูดคุยกับใคร หรือคุยโทรศัพท์แก้เซ็ง เพราะเดี๋ยวหน้าขยับแล้วจะยับแทนที่จะหล่อ
- อย่าดูหนังหรือทีวีเวลาพอกหน้า หันมาฟังเพลงแทนดีกว่า เพราะหากแจ๊คพ็อตเจอฉากตลก จะหัวเราะขำกลิ้งจนหน้ายับ
- ถ้าหิวน้ำให้ใช้หลอดดูดช่วย จะลดการขยับหน้าได้มากกว่าการดื่มจากแก้ว

ที่มา : http://women.sanook.com/931800/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B0/

สูตรพอกหน้าสำหรับหนุ่มๆ

สูตรพอกหน้าหนุ่มๆ
1. น้ำผึ้ง + มะขามเปียก : เอามะขามเปียก มาแยกเม็ด และ ใยออก (แค่พอ ใช้ครั้งเดียว ) + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ในสัดส่วนที่เท่ากันค่ะ ผสมกันเป็นเนื้อเดียวกัน จะข้นมาก ๆ เป็นสีน้ำตาลออกดำเลย เอามาพอกหน้า จะรู้สึกยิบ ๆ ที่หน้าพักหนึ่งแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ ล้างหน้าออกด้วยน้ำอุ่น .. OH George ! มันเยี่ยมอะไรอย่างนี้ .. หน้าขาว ใส สะอาด มาก ๆ เลยค่ะ

2. น้ำผึ้ง + ใบบัวบก : เอาใบบัวบกที่ยอดไม่แก่มากนะค่ะ เอามา 1 กำมือ มาสับ ๆ ๆ ๆ จนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เอาผ้าขาวบาง ( อย่าแอบใช้ที่นึ่งข้าวเหนียวนะค่ะ หุหุ ) มาห่อใบบัวบกที่สับแล้ว คั้นเอาน้ำออกมาก่อนค่ะ ได้สัก 8 - 10 หยด นี้ใช้ได้แล้ว เอา มาผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน เอากากของใบบัวบก มาผสม คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จะได้ ครีมพอกหน้าสีดำ ๆ เอามาโปะบนหน้าเลยค่ะ .. ล้างออก อีกแล้นนนน มันวิเศษมากจอร์จ .. เพราะว่า ใบบัวบก จะมีสาร เซนทริล่า ( คือ ตัวเดียวกับใน Smooth E , ครีมหน้าเด้ง ชั้นสูง ฯลฯ ) ใบบัวบก จะช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรง เมื่อเซลล์แข็งแรง ก็พร้อมจะทำงานของมันได้อย่างสมบูรณ์

3. น้ำผึ้ง + โยเกริ์ต : อันนี้แนะนำว่า ต้องเป็นโยเกริ์ตรส ธรรมชาตินะค่ะ และต้องล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งก่อนใช้สูตรนี้ ไม่งั๊น สิวจะถามหาเน้อ ไม่มีไร มาก ก็เอามาผสมในอัตราที่เท่ากัน แล้วเอามาพอกหน้า ( ควรเป็น โยเกริ์ตแช่เย็น นะค่ะ)

4. น้ำผึ้ง + กล้วยหอม : เอากล้วยหอมมาปั่นให้ละเอียด ใส่น้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นอีกครั้ง จะได้ครีมพอกหน้า สีน้ำตาลขุ่น ๆ เอามาพอกหน้าได้เลยครับ .. วิตามินเอ และ สารพัด วิตามิน จะไปบำรุงผิวหน้าให้ นุ่ม เซลล์ผิวแข็งแรง และ หน้าสะอาดค่ะ

5. น้ำผึ้ง + มะเขือเทศ : อันนี้หรือ . สุดยอดอีกตัวที่มีคนใช่บ่อย พอ ๆ กับ ตัวที่ 1 และ 2 ค่ะ ไม่มีไรมากค่ะ พยายามเลือกมะเขือเทศสด ที่ผิวสีแดง และ ผิวของมะเขือเทศด้านนอก ตึง ใส ไม่เหี่ยว มา 1 ลูกค่ะล้างให้สะอาด เอาเข้าเครื่องปั่นให้ เละเลย ใส่น้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ เอามาพอกหน้า
ที่มา http://saowarose0092.212cafe.com/category/2563/
ที่มา http://www.holidaytours.in.th/thai/sai.html

หน้าขาวใสธรรมชาติ ด้วยสูตรพอกหน้าแบบพิเศษ

หน้าขาวใส ด้วยธรรมชาติ สูตรการพอกหน้าแบบพิเศษ

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 1
พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ

วิธี การ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง
วิธี การ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น


สูตรการพอกหน้า แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล
วิธี การ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง
วิธี การ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยแตงโม
วิธี การ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว
วิธี การ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้

สูตรการพอกหน้า แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยไข่ขาว
วิธี การ : ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

ที่มา : http://เคล็ดลับหน้าใส.blogspot.com/

เคล็ดลับหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

วิธีการบำรุงหน้าให้สวยใส อมชมพู ด้วยแอปเปิ้ลนำแอปเปิ้ลปอกเปลือก แล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นล้างหน้าตามปกติ จากนั้นเรานำเนื้อแอปปิ้ลที่ปั่นละเอียดที่ได้ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ
ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น นอกจากนี้ยังช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป ยังเป็นการช่วยบำรุงความชุ่มชื่่นให้ใบหน้าคุณผู้หญิงดูสดใสเปล่งปลั่งด้วย
ลองนำไปใช้ดูได้ วิธีง่ายๆ แค่นี้หน้าก็สวยใส อมชมพูแล้ว



หน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

- เมื่อรู้สึกตัวว่ามีผิวหน้าอ่อนโรยหน้าไม่ใสอยากให้กลับมาดูสดชื่นหน้า ใส ปิ๊งๆ ก็ให้นำเอาเนื้อแอปเปิ้ลสดๆบดหรือปั่นให้ละเอียดแล้วนำมานวดให้ทั่วใบหน้า และผิวหนังบริเวณลำคอ ทำเป็นประจำอาจจะอิาทิตย์ละ 2-3 ครั้งครั้งละ 15-20นาที หรือทำจนกว่ารู้สึกว่าผิวหน้าใสและสดชื่นขึ้น

- สำหรับสาวผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวแต่อย่างใดแต่อยากให้หน้าใสสด ชื่น ก็ให้นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกก่อนจากนั้นก็นำมาบดแล้วปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับน้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันเมล็ดทานตะวัน ( หาซื้อทั่วไป) ประมาน 1 ช้อนชา ตามด้วยแป้งข้าวโพดอีก 1 ช้อนชา แล้วทาลงให้ทั่วใบหน้าเว้นขอบตา ทิ้งไว้ประมาน 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เพียงแค่นี้ก็ได้บำรุงให้หน้าใส

- สำหรับสาวผู้มีผิวพรรณร่วงโรยตามกาลเวลาหรือก่อนเวลาอันควร แล้วอยากรีบบำรุงให้กลับมาเป็นสาวหน้าใสเหมือนเดิมก็ให้ พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล อบ หรือเอาแอปเปิ้ลไปต้มแล้วบดให้ละเอียดนำไปผสมกับน้ำมันมะกอกและน้ำผึ้งหนึ่ง ช้องชา เพื่อทำให้ผิวยึดหยุ่นและชะลอกระบวนการร่วงโรยของผิว

- สำหรับสาวเป็นสิวหรือมีรอยแผลเป็นจากสิวแล้วอยากกลับมาเป็นสาวหน้า ใสเหมือน เดิมก็ให้นำแอปเปิ้ลสีเขียวมาบดผสมกับน้ำผึ้งแท้ๆ ประมาน 1 ช้อนโต๊ะคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า อาจจะทาพอกเน้นบริเวณที่มีรอยแผลเป็น ทิ้งไว้ประมาน 15-20 นาทีแล้วล้างออก

ที่มา : http://เคล็ดลับหน้าใส.blogspot.com/

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้ำตกธารสวรรค์ (ถ้ำหมูบ)

          น้ำตกธารสวรรค์ (ถ้ำหมูบ)น้ำตกธารสวรรค์ (ถ้ำหมูบ) เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งของตำบลโนนสมบูรณ์ มีลักษณะเป็นลำธารน้ำตกขนาดปานกลาง มีเพิงหินวางทับซ้อนกันเป็นถ้ำเรียกว่า ถ้ำหมูบ (คำว่า "หมูบ" เป็นภาษาอีสาน ตรงกับคำว่า "หมอบ") อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูพานเก้า ภูพานคำ ในฤดูฝนซึ่งจะมีน้ำบริเวณลำธารน้ำตกเป็นจำนวนมาก องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสมบูรณ์กับกรรมการหมู่บ้านในตำบลร่วมกันพัฒนา และจัดให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปเที่ยว



ที่มา : http://www.thaitambon.com/tambon/ttrvlist.asp?ID=401904

พัทยาสอง

           ตั้งอยู่ที่บ้านหนองกุงเซิน ห่างจากอำเภอเมืองไปประมาณ 78 กม. เป็นทะเลสาบ ขนาดประมาณ 20 ไร่ มักจะมีผู้คนท้องถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ ปิกนิกกันที่นี่ เพราะนอกจากจะมีทัศนียภาพที่งดงามโดยมีเทือกเขาภูพานคำตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังแล้ว ยังได้นั่งรับประทานปลาน้ำจืดนานาชนิด (ที่หา ได้จากทะเลสาบนี้เอง) เคล้าบรรยากาศที่เย็นสบาย สำหรับผู้ที่ต้องการทำกิจกรรมทางน้ำ ที่นี่มีบริการให้ เช่าสกู๊เตอร์ และ ห่วงยาง
การเดินทาง จากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 12 เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2038 ตรงไป ประมาณ 12 กม. เลี้ยวขวาเข้าถนนเกียรติสุรนนท์ ตรงไปประมาณ 12 กม. เลี้ยวซ้ายไปทางบ้านค้อ และเลี้ยวซ้ายอีกทีตรงวัดโสภารัตนพัฒนาราม ตรงไปและเลี้ยวขวาอีกครั้งหนึ่ง




ที่มา : http://www.thai-tour.com/thai-tour/northeast/khonkaen/data/place/pattaya2.html
ที่มา : http://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87&hl=th&rlz=1W1ADFA_enTH439&prmd=imvns&tbm=isch&tbo=u&source=univ&sa=X&ei=pN87T7PCCIfQrQem1-SHAQ&ved=0CDkQsAQ&biw=1366&bih=517

วนอุทยานถ้ำผาพวง

วนอุทยานถ้ำผาพวง
สถานที่ตั้ง
วนอุทยานถ้ำผาพวง: ชุมแพ ขอนแก่น
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่ท่องเที่ยว ตลอดทั้งปี (การเดินทางไปชมวนอุทยานถ้ำผาพวง ควรเตรียมตัวสำหรับการปีนเขา อาหารห่อ น้ำดื่มไปด้วย เพราะบริเวณวนอุทยานไม่มีร้านอาหาร)
ลักษณะของสถานที่ ถ้ำผาพวงเป็นถ้ำใหญ่ที่งดงาม น่าเที่ยว เมื่อไปจอดรถที่เชิงเขาต้องเดินอ้อมเชิงเขาไปอีกด้านหนึ่ง เพราะปากทางเข้าสู่ถ้ำผาพวงนั้นอยู่ทางด้านเหนือจากเชิงเขา มีทางไต่ขึ้นไปชมถ้ำเป็นเนินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วลาดต่ำลง เมื่อถึงปากถ้ำจะเห็นทัศนียภาพที่เป็นป่าเขา ถ้ำผาพวงเป็นถ้ำหินปูน ที่เพดานถ้ำมีลวดลายธรรมชาติของหินงอกหินย้อยสวยงามมาก ที่เพดานถ้ำทางด้านในจะมีปล่องใหญ่ ถ้าเดินลึกเข้าไปอีกจะมีทางวกลงสู่ที่ต่ำ แล้วจะมาโผล่ทางกลางถ้ำได้อีก
ข้อมูลอาหารพื้นเมือง ไม่มีข้อมูลอาหารพื้นเมือง
ของฝากของที่ระลึก กุนเชียง,หมูแผ่น,หมูหยอง,หมูยอ,ถั่วตัด,แหนม,ตุ๊บตั๊บ,ผ้าไหมมัดหมี่ และสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน|
ข้อมูลอื่นๆ ( มีโชว์ การแสดง ) ปีนเขา ,เที่ยวถ้ำ
ที่อยู่ บ้านดงลาน ต.ผานกเค้า
การเดินทางโดยรถยนต์ ห่างจากตัวเมืองตามเส้นทางสายขอนแก่น-ชุมแพ 123 กิโลเมตร (ทางหลวงหมายเลข 12และ201) มีทางแยกขวามือเข้าสู่วนอุทยานถ้ำผาพวง อีก 4 กิโลเมตร เป็นทางลูกรัง


ที่มา : http://www.dooasia.com/khonkaen/042b001.shtml
ที่มา : http://tambonnanongtum.go.th/site/tourpage/181.html

หมู่บ้านงูจงอาง

           หมู่บ้านงูจงอาง อยู่ที่บ้านโคกสง่า ตำบลทรายมูล อำเภอน้ำพอง ชาวบ้านโคกสง่าแต่เดิมมีอาชีพขายยาสมุนไพรควบคู่กับการทำนามาแต่รุ่นปู่ย่าตายาย การขายยาสมุนไพรในสมัยก่อนต้องเดินเท้าไปเร่ขายยาตามหมู่บ้านต่างๆ ด้วยความยากลำบาก แต่เมื่อปีพ.ศ. 2494 พ่อใหญ่เคน ยงลา หมอยาบ้านโคกสง่าจึงได้คิดหางูเห่ามาแสดง เพื่อเป็นการดึงดูดคนมาดู แทนที่จะต้องเดินไปขายยาในทุกๆ หมู่บ้านเช่นเคย ปรากฏว่าการแสดงประสบความสำเร็จ สามารถเรียกคนมาดูได้มากพอสมควร
แต่เนื่องจากงูเห่านั้นมีอันตรายมากสามารถพ่นพิษได้ไกลถึง 2 เมตรพ่อใหญ่จึงเปลี่ยนมาใช้งูจงอางแสดงแทน และถ่ายทอดวิชาแสดงงูให้คนในหมู่บ้าน เมื่อว่างเว้นจากการเกษตร ชาวบ้านจะรวมกลุ่มเดินทางออกเร่แสดงงูเพื่อขายยาสมุนไพร
ส่วนการแสดงที่หมู่บ้านนั้น จะจัดขึ้นบริเวณลานวัดศรีธรรมา และรอบๆ บริเวณก็จะมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับงูจงอาง รวมทั้งมีโรงเรือนเพาะเลี้ยงงูจงอางอยู่ด้วย ปัจจุบันการแสดงงูจงอางบ้านโคกสง่าเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมาก ชาวบ้านเกือบทุกหลังคาเรือนจะเลี้ยงงูจงอางไว้ใต้ถุนบ้าน มีการจัดแสดงหลายรูปแบบเพื่อดึงดูดให้คนสนใจยิ่งขึ้น เช่น การแสดงละครงูตามจังหวะเพลง การชกมวยระหว่างคนกับงูจงอาง จนชาวบ้านที่มีชื่อเสียงทางการแสดงงูมีฉายาประจำ เช่น กระหร่องน้อย เมืองอีสาน, ทองคำ ลูกทองชัย ฯลฯ

การเดินทาง

- รถยนต์ หมู่บ้านงูจงอางบ้านโคกสง่าอยู่ห่างจากตัวเมืองขอนแก่นประมาณ 50 กิโลมตร จากตัวเมืองขอนแก่นเดินทางไปตามถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) ถึงกิโลเมตรที่ 33 บริเวณตัวอำเภอน้ำพอง เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2039 ทางไปอำเภอกระนวน 16 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้านงูจงอาง ให้เลี้ยวขวาไป 2 กิโลเมตร ถึงวัดศรีธรรมา
- รถประจำทาง สามารถนั่งรถสายดาวสิงห์-กะนวนมาลงที่สี่แยกน้ำพอง แล้วนั่งรถสกายแล็ปมาลงที่หมู่บ้านงูจงอาง วัดศรีธรรมา

การแสดงงู

มีการจัดแสดงงูของชมรมผู้เลี้ยงงูจงอางแห่งประเทศไทย และมีงูสายพันธุ์ต่าง ๆ เลี้ยงไว้ในกรงพร้อมป้ายนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับงู เปิดการแสดงทุกวันระหว่างเวลา 8.00 -17.00 น. นอกจากที่วัดศรีธรรมาแล้ว ตามเส้นทางก่อนถึงวัดศรีธรรมา ยังมีการจัดแสดงงูของชาวบ้านในพื้นที่ให้ชมอีกด้วย

งานวันงูจงอาง

งานนี้จัดขึ้นที่หมู่บ้านโคกสง่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์มีกิจกรรมการจัดงานระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน ของทุก ๆ ปี เช่น การเจริญพระพุทธมนต์การสรงน้ำพระ ขบวนแห่พระพุทธรูป แห่สงกรานต์แห่งูจงอางไปตามถนนรอบหมู่บ้านสิ้นสุดที่เวทีแสดงวัดศรีธรรมา มีพิธีบายศรีสู่ขวัญ ประกวดธิดางูจงอาง การแสดงศิลปะการต่อสู้ระหว่างคนกับงูจงอางครั้งยิ่งใหญ่มีการสิตว่าน และยาสมุนไพรชนิดต่าง ๆ พร้อมจำหน่ายโดยกลุ่มชาวบ้าน หลังจากนั้นก็จะเปิดเวทีแสดงศิลปะการต่อสู้ระหว่างคนกับงูจงอางให้ชมหลายสิบคู่ (ศึกอสรพิษร้ายชกมวยกับคน) ก่อนการแสดงศิลปะการต่อสู้ นักแสดงจะไหว้ครูมีการกระทืบเท้าข่มขวัญคู่ต่อสู้คือ งูจงอาง มีการเปิดเพลงปี่พาทย์เชิด เช่นเดียวกับการชกมวยไทยในเวทีใหญ่ ๆ เมื่อคู่ชก กรรมการแพทย์สนาม ผู้บรรยายพร้อมก็จะเริ่มชกมวยระหว่างคนกับงู

 http://recmert.kku.ac.th/.../Mooban_ngooJongang.htm





ข้อมูลจาก:


 

บึงแก่นนคร

บึงแก่นนครเป็นบึงธรรมชาติ คู่เมืองขอนแก่น มีความกว้างถึง ๖,๐๐๐ไร่ ในฤดูฝนจะมีน้ำปริ่มฝั่ง เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่สวยงาม และสำคัญแห่งหนึ่ง ของชาวขอนแก่นอยู่ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น ติดกับถนนนิกรสำราญ มีถนนรอบบึง ที่ปลูกต้นไม้ไว้ร่มรื่นสวยงาม มีสนามเด็กเล่น และอาหารจำหน่าย สำหรับผู้มาพักผ่อน ยามเย็น
มีคุ้มวัฒนธรรมอีสานสำหรับให้ศึกษาเรือนอีสาน และสำหรับจัดงานเทศกาล ต่างๆ ตอนกลางบึงแก่นนครมีภัตตาคารที่ทันสมัยยื่นลงไปในน้ำมองเห็นทัศนียภาพ โดยรอบที่บริเวณสนามเด็กเล่นทางทิศเหนือของบึง เป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์ผู้ก่อตั้งเมืองขอนแก่น "ท้าวเพี้ยเมืองแพน" สร้างไว้เป็น อนุสรณ์แก่คนรุ่นหลัง ๆ ให้ได้รู้จักกัน

สถานที่ตั้ง : ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลขอนแก่น อยู่ระหว่างบ้านเมืองเก่า
บ้านโนนทันและบ้านตูมใกล้ที่ตั้งของศูนย์ประชาสัมพันธ์เขต 1 ขอนแก่น

ลักษณะทั่วไป: เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ มีพื้นที่ประมาณ 600 ไร่ มีน้ำตลอดปี ในฤดูฝน
จะมีน้ำเต็มฝั่งสวยงาม แต่ละมุมยังมีสิ่งก่อสร้างทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม มีรูปปั้นเกี่ยว
กับการดำรงชีวิตและศิลปะอีสาน เช่น คนเป่าแคนขี่ควาย มีล้อเกวียน มีรูปกิ้งก่ายักษ์ มีรูป
นกแร้งกำลังกินงู มีรูปคางคก กบ เต่า และอื่น ๆ อีกมากมาย
เส้นทางสู่บึงแก่นนคร :
.....
ไปตามถนนมิตรภาพเข้าสู่ถนนกลางเมืองตรงไปเรื่อยๆจนถึงที่ตั้งของศูนย์ประชาสัมธ์เขต 1 ขอนแก่น(ที่ตั้งเดิม)
ก็จะมองเห็นที่ตั้งของบึงแก่นนคร


บึงแก่นนครเป็นบึงธรรมชาติ คู่เมืองขอนแก่น มีความกว้างถึง ๖,๐๐๐ไร่ ในฤดูฝนจะมีน้ำ

ผานกเค้า

           ผานกเค้าเป็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ริมลำน้ำพอง ในเขตท้องที่อำเภอภูผาม่าน หันหน้าชนกับภูกระดึง จังหวัดเลย ผานกเค้าอยู่ห่างจากตัวเมืองขอนแก่น 125 กิโลเมตร ตามทางหลวงสายขอนแก่น-วังสะพุง ผานกเค้าอยู่ทางด้านซ้ายมือของบ้านดงลาน ลักษณะของผานกเค้าเป็นภูเขาหินสีดำ บางส่วนกระเทาะออกเห็นเนื้อหินสีส้ม มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอยู่ประปราย บริเวณที่จะมองเค้าโครงของนกเค้าได้ชัดเจน ควรเดินเข้าไปศูนย์เพาะชำกล้วยไม้ กองบำรุง กรมป่าไม้ ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากถนน จะเห็นว่าลักษณะผาเหนือจงอยปากขึ้นไปมีลักษณะเป็ฯหงอนถัดลงมา เป็นหินกลมโค้งต่ำจากส่วนหงอนลงมาเป็นส่วนหัว ตรงกลางหัวมีรอยหินกระเทาะเป็นสีส้มอยู่ในตำแหน่งดวงตา ต่ำลงมาจากส่วนหัวจะถึงแนวปีกทั้งสองข้างที่กางออก
 
 
 



วนอุทยานน้ำตกบ๋าหลวง

           วนอุทยานน้ำตกบ๋าหลวงพิมพ์ Tell your friend about this website


วนอุทยานน้ำตกบ๋าหลวง อยู่ในท้องที่บ้านโคกล่าม ตำบลห้วยยาง อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงมูล มีเนื้อที่ประมาณ 1,200 ไร่ กรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2526
ลักษณะภูมิประเทศ
- สภาพพื้นที่เป็นเนินดินลูกรัง ป่าเป็นป่าเบญจพรรณมีพันธุ์ไม้เด่น คือ กระบก โมกมัน และสาธร
บ้านพัก-บริการ
- วนอุทยานน้ำตกบ๋าหลวง ไม่มีบ้านพักไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว หากนักท่องเที่ยวมีความประสงค์จะเดินทางไปพักแรม โปรดนำเต็นท์ไปกางเอง แล้วไปติดต่อขออนุญาตกับหัวหน้าวนอุทยานน้ำตกบ๋าหลวงโดยตรง หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ฝ่ายจัดการวนอุทยาน สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ10900

แหล่งท่องเที่ยว
- น้ำตกตาดโตน มีความสูงประมาณ 10 เมตร เหนือน้ำตกเป็นลานหินกว้าง มีทางเดินศึกษาธรรมชาติไปที่อ่างนางลอย

การเดินทาง
- รถยนต์ วนอุทยานน้ำตกบ๋าหลวงอยู่ห่างจากตัวจังหวัดขอนแก่น ประมาณ 85 กิโลเมตร ห่างจากตัวอำเภอกระนวน ประมาณ 21 กิโลเมตร เป็นทางลูกรังแยกจากทางหลวงสายอำเภอกระนวน-อำเภอท่าคันโทตรงหลักกิโลเมตรที่ 18 ประมาณ 3 กิโลเมตร

สถานที่ติดต่อ
- วนอุทยานน้ำตกบ๋าหลวงสำนักบริหารจัดการในพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (ขอนแก่น) ต.ห้วยยาง อ.กระนวน จ.ขอนแก่น






ที่มา : http://www.rimnam.com/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99/%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%8B%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87.html
ที่มา : http://www.google.co.th/imgres?q=%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B9%8B%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87&hl=th&sa=X&pwst=1&rlz=1W1ADFA_enTH439&biw=1366&bih=517&tbm=isch&prmd=imvns&tbnid=xQyeNBDvRUsPnM:&imgrefurl=http://album.siamza.com/album.php%3Falbumid%3D163995&docid=FKIKQDGYNXMbCM&imgurl=http://album.siamza.com/data/phantri/bpic/33117071679.jpg&w=480&h=328&ei=HM47T9eWB8bprAfO_ciHAQ&zoom=1&iact=hc&vpx=600&vpy=162&dur=2028&hovh=185&hovw=272&tx=107&ty=98&sig=113106215152013637216&page=1&tbnh=154&tbnw=223&start=0&ndsp=10&ved=1t:429,r:2,s:0

ศิลปะ-วัฒนธรรม-ประเพณี จังหวัดขอนแก่น

การฟ้อนเตี้ยเคยนิยมเล่นในช่วงตรุษสงกรานต์ ในหมู่คนอีสานโดยเฉพาะที่จังหวัดขอนแก่นได้สืบทอดกันมาหลายชั่วรุ่น ให้ความสนุกสนานครื้นเครง โดยหนุ่มสาวจะจับคู่กันฟ้อนเตี้ย มีหมอแคนเป็นผู้เป่าให้จังหวะ ท่าฟ้อนยิ่งแปลกมากเท่าใด ก็จะยิ่งเรียกความสนใจจากคนดูได้มากเท่านั้น ปัจจุบันนี้จะมีก็แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ฟ้อนเตี้ยได้
งานวันดอกคูนเสียงแคน จัดขึ้นในเดือนเมษายน บริเวณบึงแก่นนคร เพื่อเป็นการฟื้นฟูงานบุญสงกรานต์ของภาคอีสาน มีการทำบุญตักบาตรในตอนเช้า สรงน้ำพระ และพิธีรดน้ำดำหัว มีการแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน ขบวนเกวียนบุปผชาติ ประกวดอาหารอีสาน แข่งเรือในบึงแก่นนคร ประกวดกลองยาว การแสดงบนเวที และออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง
เทศกาลไหว้พระธาตุขามแก่น เป็นงานเฉลิมฉลองพระธาตุขามแก่น และเพื่อให้ประชาชนได้สักการะพระธาตุคู่บ้านคู่เมือง จัดขึ้นเป็นประจำในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ณ วัดเจติยภูมิ มีการแสดงศิลปะพื้นบ้าน และออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง
เทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยว และงานกาชาด บริเวณศาลากลางจังหวัดเนื่องจากจังหวัดขอนแก่น มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเพื่อใช้ทอผ้าอย่างแพร่หลาย เป็นอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้ให้แก่ผู้คนในจังหวัด ทางราชการจึงให้การสนับสนุน จนจังหวัดขอนแก่นกลายเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงที่สุด อีกทั้งยังมีประเพณีผูกเสี่ยว ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของภาคอีสาน ที่มุ่งให้คนรุ่นเดียวกันรักใคร่เป็นพี่น้องช่วยเหลือกัน เรียกว่า "คู่เสี่ยว" เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพทอผ้าไหม และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมไว้ จึงได้จัดกิจกรรมทั้งสองขึ้นในคราวเดียวกัน และควบคู่กับงานกาชาด ในงานจะมีขบวนแห่คู่เสี่ยว และพานบายศรีของอำเภอต่างๆ มีพิธีผูกเสี่ยว การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ประกวดผลิตภัณฑ์พื้นเมือง พาข้าวแลง และออกร้านจำหน่ายผ้าไหม ของที่ระลึกต่างๆ จัดขึ้นเป็นประจำในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม







ที่มา : http://www.baanjomyut.com/76province/northeast/khonkaen/costom.html
ที่มา : http://www.google.co.th/imgres?q=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%99&hl=th&sa=X&rlz=1W1ADFA_enTH439&biw=1366&bih=517&tbm=isch&prmd=imvns&tbnid=KxUob5Zzdn7idM:&imgrefurl=http://www.tlcthai.com/travel/3804&docid=Ofhe6SqCEkde1M&imgurl=http://travel.tlcthai.com/wp-content/uploads/2010/11/64175.jpg&w=799&h=533&ei=97c7T7HDBMS8rAfDuOmHAQ&zoom=1&iact=hc&vpx=331&vpy=157&dur=368&hovh=183&hovw=275&tx=186&ty=105&sig=113106215152013637216&page=1&tbnh=143&tbnw=191&start=0&ndsp=12&ved=1t:429,r:1,s:0

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปราสาทเปือยน้อย

          ปราสาทเปือยน้อย ถึงแม้จะเป็นปราสาทหินที่มีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับปราสาทหินพิมายหรืออีกหลายแห่งที่พบทางอีสานตอนใต้แต่ก็นับเป็นปราสาทเขมรที่สมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง ปราสาทเปือยน้อย หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่า พระธาตุกู่ทอง สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เป็นศิลปะผสมระหว่างศิลปะเขมรแบบบาปวนและแบบนครวัด สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู แผนผังการก่อสร้างมีความหมายเป็นเขาพระสุเมรุซึ่งถือเป็นแกนจักรวาลอันเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้าที่เรียกว่า "ศาสนบรรพต" สิ่งก่อสร้างภายในบริเวณปราสาทเป็นไปตามแบบแผนของศาสนสถานขอมโบราณ หน้าบันขององค์ปรางค์ประธานสลักเป็นพระยานาคราชมีลวดลายสวยงามมาก ทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่นับว่ายังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ "โคปุระ" (ซุ้มประตู) อยู่ทางทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ด้านข้างโคปุระเจาะเป็นช่องหน้าต่าง "กำแพงแก้ว" มีฐานเป็นบัวคว่ำบัวหงาย มีการสลักศิลาแลงเป็นร่องแบบลาดบัว

การเดินทาง จากขอนแก่นจะใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2 (ขอนแก่น-บ้านไผ่) ระยะทาง 44 กิโลเมตร เข้าทางหลวงหมายเลข 23 (บ้านไผ่-บรบือ) ไปอีกประมาณ 11 กิโลเมตร แล้วแยกขวาเข้าสู่อำเภอเปือยน้อยอีก 24 กิโลเมตร











พระธาตุหนองแวง

       วัดหนองแวง (พระมหาธาตุแก่นนคร) ภายในวัดหนองแวง (พระอารามหลวง) มีพระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุเก้าชั้น เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก่ออิฐถือปูน เรือนยอดทรงเจดีย์ (จำลองแบบจากพระธาตุขามแก่น) จัดสร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และมหามังคลานุสรณ์ 200 ปี เมืองขอนแก่น ความสูงขององค์พระธาตุฯ 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุมและมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ผสมผสานศิลปะอินโดจีน ซึ่งเป็นลักษณะแบบชาวอีสานตากแห ภายในองค์พระธาตุมีอยู่ 9 ชั้น คือ


ชั้นที่ 1 เป็นหอประชุมมีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่บนบุษบกตรงกลางและพระประธาน 3 องค์อยู่ตรงกลาง บานประตู หน้าต่าง แกะสลักภาพนิทานเรื่องจำปาสี่ต้น โดยเฉพาะบานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติและมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น
ชั้นที่ 2 เป็นหอพัก บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องสังศิลป์ชัย
ชั้นที่ 3 เป็นหอปริยัติ บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องนางผมหอม
ชั้นที่ 4 เป็นหอปริยัติธรรม ภายในมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าบานประตูหน้าต่างภาพพระประจำวันเกิด เทพประจำทิศและตัวพึ่ง-ตัวเสวย
ชั้นที่ 5 เป็นหอพิพิธภัณฑ์ มีบริขารของหลวงปู่พระครูปลัดบุษบา สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 6 บานประตูหน้าต่างแกะสลักภาพพุทธชาดก
ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌายาจารย์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่องเวสสันดร
ชั้นที่ 7 เป็นหอพระอรหันตสาวก บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานเรื่องพระเตย์มีใบ้
ชั้นที่ 8 เป็นหอพระธรรม เป็นที่รวบรวมพระธรรม คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนามีพระไตรปิฏก ฯลฯ บานประตูแกะสลักรูปพรหม 16 ชั้น
ชั้นที่ 9 เป็นหอพระพุทธ ตรงกลางมีบุษบก เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า บานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติ รูปพรหม 16 ชั้น และสามารถชมทัศนียภาพของตัวเมืองขอนแก่นได้ทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันออกสามารถมองเห็นบึงแก่นนครได้สวยงามมาก
เปิดให้พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยว ได้ทำบุญและสักการะพระบรมสาริกธาตุ ตั้งแต่ช่วงเช้า ถึง 18.00 น.








อุทยานแห่งชาติน้ำพอง

       อุทยานแห่งชาติน้ำพอง เป็นชื่อเรียกตามต้นกำเนิดลำน้ำพองที่ไหลมารวมกับอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ (เดิมชื่ออ่างเก็บน้ำน้ำพอง) เป็นอุทยานแห่งชาติที่จัดตั้งขึ้นตามข้อเสนอของจังหวัดขอนแก่น แต่เดิมมีชื่อเรียกว่า “น้ำพอง-ภูเม็ง” เพราะมีพื้นที่บางส่วนอยู่ในเทือกเขาภูเม็ง อุทยานแห่งชาติน้ำพองตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดขอนแก่นติดกับเขื่อนอุบลรัตน์ ครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าโสกแต้ ป่าภูเม็ง ป่าโคกหลวง ป่าโคกหลวงแปลงที่สาม ป่าภูผาดำ ป่าภูผาแดง ในเขตอำเภออุบลรัตน์ อำเภอบ้านฝาง อำเภอหนองเรือ อำเภอภูเวียง (พื้นที่น้ำ) อำเภอมัญจาคีรี และอำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น รวมทั้งพื้นที่บางส่วนของ อำเภอบ้านแท่น อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่ประมาณ 197 ตารางกิโลเมตร หรือ 123,125 ไร่

 
จังหวัดขอนแก่น ได้มีหนังสือลงวันที่ 30 มีนาคม 2538 ขอให้กรมป่าไม้พิจารณากำหนดพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเม็ง ป่าโคกหลวง ป่าโคกหลวงแปลงที่สาม ในท้องที่จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 และ 17 มีนาคม 2535 เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีทิวทัศน์และจุดเด่นที่สวยงาม โดยจังหวัดขอนแก่นได้แต่งตั้งคณะกรรมการทำการสำรวจปรับปรุงแนวเขตให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่ทุกฝ่ายแล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องแนวเขตและที่ทำกินของราษฎรในพื้นที่ป่าดังกล่าว

กรมป่าไม้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการสำรวจพื้นที่ป่าดังกล่าวปรากฏว่า พื้นที่ป่ายังมีความสมบูรณ์ หากพิจารณาตามความหมายของอุทยานแห่งชาติแล้วยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ แต่สมควรอนุรักษ์ไว้สำหรับประชาชนจังหวัดขอนแก่น โดยเห็นสมควรกำหนดพื้นที่ป่าอนุรักษ์ใกล้เคียงเพิ่มเติม ได้แก่ ป่าโคกหลวง ป่าภูผาดำ และป่าภูผาแดง จังหวัดชัยภูมิ และป่าโสกแต้ รวมพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เป็นอุทยานแห่งชาติด้วย เนื่องจากยังมีสภาพป่าสมบูรณ์ มีจุดเด่นและจุดชมทิวทัศน์ที่น่าสนใจ

อุทยานแห่งชาติน้ำพองได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินป่าโสกแต้ในท้องที่ตำบลเขื่อนอุบลรัตน์ ตำบลทุ่งโป่ง ตำบลโคกสูง อำเภออุบลรัตน์ ตำบลนาหว้า ตำบลหนองกุงเซิน อำเภอภูเวียง ตำบลโคกงาม ตำบลป่าหวายนั่ง ตำบลบ้านฝาง อำเภอบ้านฝาง และตำบลบ้านผือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ป่าภูเม็ง และป่าโคกหลวง ในท้องที่ตำบลบ้านเม็ง ตำบลยางคำ อำเภอหนองเรือ ตำบลคำแคน ตำบลนางาม อำเภอมัญจาคีรี ตำบลป่ามะนาว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น และตำบลสระพัง ตำบลบ้านเต่า ตำบลหนองคู อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ และป่าโคกหลวง ป่าภูผาดำ ป่าภูผาแดง และป่าโคกหลวง แปลงที่สาม ในท้องที่ตำบลนางาม อำเภอมัญจาคีรี ตำบลบ้านโคก ตำบลซับสมบูรณ์ อำเภอโคกโพธิ์ไชย อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น และตำบลหนองสังข์ ตำบลบ้านแก้ง ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 117 ตอนที่ 105ก ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2543 นับว่าเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 100 ของประเทศไทย


       อุทยานแห่งชาติน้ำพอง
ตู้ ปณ.13 (ดอนโมง)  อ. หนองเรือ  จ. ขอนแก่น   40240
โทรศัพท์ 0 4335 8074 (VoIP)   โทรสาร 0 4335 8074 (VoIP)  

อีเมล namphong_np@dnp.go.th


 
   












 ที่มา : http://web3.dnp.go.th/parkreserve/asp/style2/default.asp?npid=26&lg=1

^_^ เขื่อนอุบลรัตน์ ^_^

       เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนพลังน้ำ แห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นแห่งที่สอง ของประเทศไทยต่อมาจาก เขื่อนภูมิพล สร้างปิดกั้นแม่น้ำพองที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น แต่เดิมมีชื่อ เขื่อนพองหนีบ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี ๒๕๐๗ สร้างเสร็จในปี ๒๕๐๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราช ดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ ไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๐๙ และได้พระราชทานชื่อใหม่ว่า เขื่อนอุบลรัตน์ แต่เดิมเขื่อนสูง ๓๒ เมตร ต่อมาในปี ๒๕๒๗ ได้ทำการปรับปรุงเขื่อนอุบลรัตน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเขื่อนในการบรรเทาอุทกภัยให้สูงขึ้น และเป็นการเสริมความปลอดภัยให้แก่ตัวเขื่อนโดยการเสริมสันเขื่อนให้สูงขึ้นอีก ๓.๑ เมตร ส่วนฐานเขื่อนด้านท้ายขยายจากเดิมซึ่งกว้าง ๑๒๐ เมตร เป็น ๑๒๕ เมตร ปรับปรุงแล้วเสร็จเมื่อต้นปี ๒๕๓๐


       การเที่ยวที่เขื่อนอุบลรัตน์  เขื่อนอุบลรัตนมีสถานที่น่าไปเที่ยวอยู่ 2 ที่ จุดแรกคือบริเวณสันเขื่อน ซึ่งจะต้องเข้าไปในพื้นที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จุดที่น่าสนใจคือ ชมวิวสันเขื่อน และชมวิวอ่างเก็บน้ำ  สำหรับร้านอาหารริมเขื่อนจะเป็นร้านสโมสรของการไฟฟ้าออกแนวหรูๆ อยู่ในตู้กระจก สำหรับจุดชมวิวด้านล่างก็จะมีป้ายเตือนว่า " อย่าเช่าเรือ หรือขึ้นเรือเช่าออกไปเที่ยวในอ่างเพราะอาจจะได้รับอันตรายถึงชีวิต "  ลงเล่นน้ำไม่ได้เพราะไม่มีหาด ดังนั้นการเที่ยวที่จุดนี้คือการขับรถเข้ามาจอดชมวิวดังที่เห็นในภาพ  ไม่มีการกระจายรายได้สู่คนในท้องถิ่นเท่าที่ควร และกิจกรรมท่องเที่ยวก็ไม่มีอะไรนอกจากไปชมวิว แล้วก็เข้าร้านอาหาร
จุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเขื่อนอุบลรัตน์คือ ชายหาดบางแสน 2 ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเขื่อน ลักษณะมีหาดทรายยาว มีร้านอาหารชาวบ้าน และมีหาดให้ลงเล่นน้ำ  จุดนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวท้องถิ่นและพื้นที่ใกล้ๆ เคียง ในช่วงฤดูร้อนจะมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก


การเดินทาง
เขื่อนอุบลรัตน์ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๕๐๒ กิโลเมตร การเดินทางโดยรถยนต์ใช้เวลาประมาณ ๗ ชั่วโมง ใช้เส้นทางถนนสายมิตรภาพ หรือทางหลวงหมายเลข ๒ ไปจนถึงจังหวัดขอนแก่น ขับเลยจากขอนแก่นขึ้นไปตามถนนเส้นเดิม อีกประมาณ 28 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายไปตามเส้นทาง 2109 อีก 25 กิโลเมตร  เห็นป้ายทางเข้าเลี้ยวขวาเข้าไปอีก 500 เมตรก็ถึงสันเขื่อน  ทางเข้ามีป้ายบอกชัดเจน


ิติดต่อสอบถาม
ท่านสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดการเข้าเยี่ยมชมได้ที่แผนก ประชาสัมพันธ์เขื่อนอุบลรัตน์ โทร(๐๔๓)๔๔๖๒๓๓-๔ ต่อ ๒๐๕๐,๒๐๕๖ โทรสาร (๐๔๓)๔๔๖๑๕๒
หากประสงค์จะพักแรมติดต่อได้ที่หน่วยบ้านรับรอง เขื่อนอุบลรัตน์ โทร.(๐๔๓)๔๔๖๒๓๑, ๔๔๖๒๓๓-๔ ต่อ ๕๘๖๔



                                       

สะพานเดินไปจุดชมวิว


สันเขื่อน



 


                         

ประตูระบายน้ำลงคลองชลประทาน



ริมฝั่งจุดชมวิว